ความรู้เรื่องกฐิน และอานิสงส์บุญกฐิน
top of page

✨🙏 ความรู้เรื่องกฐิน และอานิสงส์บุญกฐิน


พานกฐิน
ความรู้เรื่องกฐิน และอานิสงส์บุญกฐิน

การทอดกฐินเป็นประเพณีการบำเพ็ญกุศลอย่างหนึ่งของพุทธสาสนิกชนคนไทย การทอดกฐินเป็นประเพณีนิยมมาตั้งแต่สมัยโบราณ ด้วยคนไทยนับถือศาสนาพุทธ เมื่อทราบพุทธบัญญัติให้ภิกษุรับผ้ากฐินได้ พุทธศาสนิกชนก็ตั้งใจจะอุปถัมภ์พุทธบัญญัตินั้นไว้ไม่ให้สูญหาย ฉะนั้นการทอดกฐินจึงเป็นหน้าที่ที่พุทธศาสนิกชนพึงกระทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะการทอดกฐินถือว่าเป็นการบำเพ็ญกุศลที่ได้บุญมากทั้งผู้ให้และพระภิกษุสงฆ์ผู้รับกฐิน กฐินถือว่าเป็นทานพิเศษ จัดเป็นกาลทาน คือ ทานที่มีระยะเวลากำหนดเนื่องจากการทอดกฐินนั้น ๑ ปี กระทำได้เพียงชั่วระยะเวลา ๑ เดือน คือ ระหว่างวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึง วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ หากเป็นวันก่อนหน้าหรือหลังจากนั้นไม่ถือว่าเป็นการทอดกฐิน และในแต่ละวัดก็รับกฐินได้ครั้งเดียวเท่านั้น การทอดกฐินสามารถแบ่งออกได้ ๒ ลักษณะ ได้แก่


⭐ มหากฐิน หมายถึง การทอดกฐินที่มีเวลามากในการเตรียมผ้ากฐิน พร้อมของบริวารต่างๆจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งใช้สำหรับการทำนุบำรุงศาสนาให้คงอยู่ต่อไป

⭐ จุลกฐิน หมายถึง การทอดกฐินที่มีเวลาจำกัดเพียง ๑ วัน เท่านั้น และต้องทำทุกอย่างให้เสร็จภายในวันนั้น เริ่มตั้งแต่การนำดอกฝ้ายมาทำให้เป็นปุย แล้วปั่นเป็นเส้นดาย นำมาทอเป็นผ้าแล้วจึงตัดเป็นจีวร เมื่อทำจีวรเสร็จ จึงทำพิธีถวายกฐินในวันนั้น จุลกฐินเป็นการทอดกฐินที่ต้องอาศัยความสามัคคีของคนหมู่มากจึงจะสำเร็จ ด้วยมีระยะเวลาอันจำกัด ปัจจุบันจึงไม่นิยมทำกันเท่าไหร่ มีเพียงบางแห่งที่ต้องการอนุรักษ์ประเพณีอันงดงามนี้ไว้เท่านั้น


การทอดกฐินถือเป็นอานิสงส์ทั้งผู้ถวายและภิกษุผู้รับถวาย ผลดีฝ่ายผู้ทอดและคณะ มีดังนี้


๑. ชื่อได้ว่าถวายทานภายในเวลากำหนดที่เรียกว่ากาลทาน คือ ในปีหนึ่งถวายได้เพียงในระยะเวลา ๑ เดือนเท่านั้นในข้อถวายทานตามกาลนี้มีพระพุทธภาษิตว่า ผู้ใดให้ทานตามกาล ความต้องการที่เกิดขึ้นของผู้นั้นย่อมสำเร็จได้

๒. ชื่อได้ว่าสงเคราะห์พระสงฆ์ผู้จำพรรษาให้ได้ผลัดเปลี่ยนผ้านุ่งห่มใหม่ แม้ผ้ากฐินนั้นจะตกแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งก็ชื่อว่าได้ถวายแก่สงฆ์เป็นส่วนรวม มีพระพุทธภาษิตว่า ผู้ให้ผ้าชื่อว่าให้ผิวพรรณ


๓. ชื่อว่าได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ส่งเสริมผู้ประพฤติปฏิบัติชอบให้เป็นหลัก เป็นตัวอย่างแห่งคุณงามความดีแก่ประชาชนสืบไป

๔. จิตใจของผู้ทอดกฐิน ๓ กาล คือ ก่อนทอด หรือกำลังทอดและทอดแล้วที่เลื่อมใสในศรัทธาและปรารถนาดีนั้นจัดเป็นกุศลจิต คนที่มีจิตใจเป็นกุศลย่อมได้รับความสุขความเจริญ

๖. การทอดกฐินทำให้เกิดความสามัคคีธรรม คือ การร่วมมือร่วมกันทำคุณงามความดี และถ้าการถวายกฐินนั้นมีส่วนได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามด้วยแล้วย่อมเป็นการร่วมสามัคคี เพื่อรักษาศาสนวัตถุศาสนสถานให้ยั่งยืนสืบไป

ในส่วนของภิกษุนั้นจะได้รับอานิสงส์ คือ การละเว้นไม่ต้องโทษ ๕ ประการตลอดฤดูหนาวเริ่มตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน เดือน ๑๒ จนถึง วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ได้แก่


๑. ภิกษุสามารถเดินทางกลับบ้านได้โดยไม่ต้องบอกพระอุปัชฌาย์ หรือเจ้าอาวาสก่อน

๒. ภิกษุจากริกไปโดยไม่ต้องนำจีวรไปครบสำรับ

๓. ฉันอาหารเป็นคณะโภชน์ได้

๔. เก็บจีวรไว้ได้ตามปรารถนา

๕. ภิกษุที่ไม่ได้รับผ้ากฐิน สามรถแสวงหาผ้าเพื่อมาแทนของเก่าที่ชำรุดได้ ภายในระยะเวลา ๔ เดือน ตลอดฤดูหนาว

ที่มา : หนังสือวันและประเพณีสำคัญ โดย ศิริวรรณ คุ้มโห้ และ ปฏิทิน ประเพณี ๑๒ เดือน โดยอุดม เชยกีวงศ์

bottom of page